ปั๊มน้ำ พัง…เกิดจากอะไร?

ปั๊มน้ำ พัง…เกิดจากอะไร??

ปั๊มน้ำ พัง เกิดจากหลายสาเหตุ ก่อนอื่น ปั๊มน้ำรถยนต์นั้น มีหน้าที่หมุนเวียนน้ำจากเครื่องไปยังหม้อน้ำ เพื่อระบายความร้อน ก่อนไหลกลับเข้าสู่ตัวเครื่อง

ในส่วนการทำงาน ต้องอาศัยแรงจากเครื่องยนต์ ผ่านสายพาน โดยมีลูกปืนมารองรับในการหมุน เราจำเป็นต้องดูแลและตรวจเช็คเมื่อถึงอายุการใช้งาน ประมาณ 100,000 กม..

แล้ว…สาเหตุที่ ปั๊มน้ำ พัง..เกิดจากอะไรได้บ้าง??

✅ การเสื่อมสภาพของช่องระบายอากาศ หรือ ซีลแกน ปั๊ม น้ำ อาการที่สังเกตุได้คือ น้ำในระบบหล่อเย็นจะค่อยๆหายไป

✅ สายพานขาด ปั๊มน้ำไม่ทำงาน ทำให้เกิดความร้อนสะสมได้

✅ ลูกปืนแตก หรือ สึกหรอตามการใช้งาน หรือ เกิดจากใบพัดหลุด ทำให้ ปั๊มน้ำ ทำงานไม่เต็มประสิทธิภาพ

วิธีการเช็คปั๊มน้ำเสื่อมสภาพ

👉 ตรวจเช็ครอยรั่วใต้ท้องรถ ว่ามีคราบน้ำหรือน้ำยาหล่อเย็นใต้ปั๊มน้ำหรือไม่

👉 สังเกตุเสียงผิดปกติของเครื่องยนต์ หากมีเสียงดัง ลูกปืนปั๊มน้ำอาจเสื่อมสภาพ หรือแตกได้ ให้รีบเปลี่ยน

👉 ตรวจเช็คสายพานของปั๊มน้ำ หากพบสายพานหลวมหรือพบรอยฉีกขาด ควรเปลี่ยนใหม่ทันที หรือเปลี่ยนทุกๆ 4-6 หมื่น กม.

👉 สังเกตุไฟเตือนอุณหภูมิหน้าปัด หากไฟอุณหภูมิแสดงขึ้น เป็นไปได้ว่า การไหลเวียนของน้ำยาหล่อเย็นไม่เพียงพออาจจะเกิดจากการรั่วซึม หรือ ปี๊มน้ำทำงานบกพร่อง

ในระยะทาง 100,000 กม. มีการหมุนเวียนน้ำสูงถึง 1.7 ล้านลิตร ดังนั้น สิ่งสำคัญ เราควรเปลี่ยนถ่ายน้ำทุกๆ 40,000 กม เพื่อช่วยรักษาปั๊มน้ำ และ หม้อน้ำรถยนต์ ให้มีอายุการใช้งานที่ยาวนานมากขึ้น

กล้องติดรถยนต์ ยี่ห้อไหนดี?

กล้องติดรถยนต์ ยี่ห้อไหนดี ?? 

ต้องยอมรับว่าตอนนี้กล้องติดรถยนต์ คือสิ่งสำคัญที่คนใช้รถควรต้องมีติดรถไว้ เพราะภาพจากกล้องนั้นสามารถเป็นหลักฐานชิ้นสำคัญ ของเหตุการณ์บางอย่างก็เป็นได้ 

กล้องติดรถยนต์มีมากมายหลายรุ่น หลายยี่ห้อ หลายราคา แต่นอกจากเพื่อนๆจะเลือกดูจากราคาแล้ว เราควรจะเลือกจากฟังก์ชันการใช้งานของกล้องนั้นด้วย เราควรต้องดูจากอะไรบ้าง?

ความละเอียดของวิดีโอ

ความละเอียดของตัวกล้องถือเป็นสิ่งสำคัญที่ควรคำนึงถึง เพราะเมื่อเกิดเหตุใดๆขึ้นมา เราจะได้เห็นรายละเอียดของเหตุการณ์ได้ชัดเจน เราควรจะเลือกใช้กล้องที่มีความละเอียดระดับ FULL HD หรือ 1080 P ขึ้นไป เพื่อความคมชัดของภาพวิดีโอ

รูปแบบการใช้งาน

ในปัจจุบันกล้องติดรถยนต์รุ่นใหม่ๆ ได้มีการพัฒนาฟังก์ชันการใช้งาน ให้มีหลากหลายรูปแบบ ทั้งการบันทึกจากหน้ารถ หรือ Dual-cam คือการบันทึกจากหน้ารถและหลังรถไปพร้อมกัน รวมถึงการบันทึกภายในห้องโดยสารด้วย

หน่วยความจำ

การ์ดหน่วยความจำ ก็ถือเป็นสิ่งสำคัญ เพราะมันทำให้คุณพลาดการบันทึกเหตุการณ์สำคัญๆไปได้ เราควรเลือกการ์ดหน่วยความจำที่มีคุณภาพ ซึ่งจะกำหนดโดย “class” ของการ์ดหน่วยความจำนั้น ๆ โดยมีตั้งแต่ class 2, 4, 6 และ 10 ซึ่งจะแสดงความเร็วในการเขียนขั้นต่ำเป็น MB หมายความว่าการ์ด Class 2 มีความเร็วในการเขียนขั้นต่ำ 2MB ในขณะที่การ์ด Class 10 มีความเร็วในการเขียนขั้นต่ำ 10MB ผู้ผลิต กล้องติดรถยนต์ ส่วนใหญ่แนะนำให้ใช้การ์ดระดับคลาส 6 ขึ้นไป

กล้องติดรถยนต์ส่วนใหญ่มีการบันทึกแบบวนหรือลูป ซึ่งจะทำให้คุณสามารถบันทึกวิดีโอบนหน่วยความจำทับวิดีโอที่ถูกบันทึกไปแล้วได้ โดยที่ไม่จำเป็นต้องนั่งลบวิดีโอด้วยตัวเองหรือล้างหน่วยความจำ และโดยทั่วไปการ์ดหน่วยความจำขนาดต่าง ๆ ก็จะสามารถบันทึกภาพได้ในช่วงเวลา ดังนี้ (ขึ้นอยู่กับการตั้งความละเอียดของภาพวิดีโอด้วย)

  • 8GB : 2-3 ชั่วโมง
  • 16GB : 4-6 ชั่วโมง
  • 32GB : 6-12 ชั่วโมง
  • 64GB : 10-20 ชั่วโมง
  • 128GB : 20-40 ชั่วโมง

ฟังก์ชั่นช่วยเหลือการขับขี่อื่นๆ

ปัจจุบันกล้องติดรถยนต์ รุ่นใหม่ๆ นั้นมาพร้อมกับคุณสมบัติพิเศษมากมายไม่ว่าจะเป็น ระบบแจ้งเตือนการขับรถออกนอกเลน, ระบบแจ้งเตือนป้องกันการชน, ระบบบันทึกขณะจอดป้องกันขโมย, ระบบเปิด-ปิดอัตโนมัติ, ระบบที่สามารถโอนถ่ายข้อมูลไปยังโทรศัพท์กับคอมพิวเตอร์ และอื่น ๆ อีกมากมาย

สำหรับเรื่องนี้ขึ้นอยู่ความต้องการของคุณเองว่า ต้องการฟังก์ชันเสริมที่มากขึ้นหรือไม่ ซึ่งแน่นอนว่า กล้องที่มีคุณสมบัติพิเศษครบครัน ย่อมมีราคาที่สูงตามไปด้วย

งบประมาณ

ในปัจจุบันนี้ราคาของกล้องติดรถยนต์มีมากมายหลายราคา ตั้งแต่หลักร้อยถึงหลักพัน แน่นอนว่าสุดท้ายแล้ว เพื่อนๆก็ต้องคำนวณเรื่องราคา ประกอบกับคุณภาพและฟังก์ชันการใช้งานให้สอดคล้องกัน และตอบโจทย์กับการใช้งานในชีวิตประจำวัน

.

แล้วเราจะเลือกกล้องติดรถยนต์ ยี่ห้อไหนดี? แอดมินขอแนะนำ 3 กล้องติดรถยนต์ที่ภาพคมชัด จัดเต็ม!!!

ANYTEK A3
  1. กล้องติดรถยนต์ ANYTEK A3

จอ 2.4 นิ้ว ความละเอียดวิดีโอ Full HD 1,920 x 1,080 Pixels มีระบบ Night Vision ใช้ในที่แสงน้อยได้ มุมกล้อง 170 องศา

เช็คราคา คลิก

TRANSCEND200

2.กล้องติดรถยนต์ TRANSCEND200

จอ 2.4 นิ้ว ความละเอียดวีดิโอ 1,920 x 1,080 Pixels มุมกล้อง 160 องศา สามารถรองรับ MICRO SD CARD ได้สูงสุด 32GB

เช็คราคา คลิก

VICO-OPIA2

3.กล้องติดรถยนต์ VICO-OPIA2

จอ 2 นิ้ว ความละเอียดวีดิโอ 2,560 x 1,440 Pixels มุมกล้อง 160 องศา สามารถรองรับ MICRO SD CARD ได้สูงสุด 128GB

เช็คราคา คลิก

เบอร์น้ำมันเครื่อง…กับเรื่องที่ควรรู้??

หลายๆคนรู้จัก น้ำมันเครื่อง กันดีอยู่แล้ว โดยเฉพาะผู้ใช้รถทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็น รถยนต์ หรือ รถจักรยานยนต์ ต่างก็รู้จักเป็นอย่างดี แต่ตัวเลขที่อยู่บนตัวถังน้ำมันเครื่องนั้น บอกอะไรกับเราบ้าง?…
นั่นคือการวัดความต้านทานการเป็นไข โดยวัดตั้งแต่อุณหภูมิต่ำกว่า 20 องศาเซลเซียส ต่ำลงมาจนถึงจุดเยือกแข็ง ตั้งแต่ 0 จนถึงต่ำกว่า -30 องศาเซลเซียส โดยระบุเป็นตัวอักษร ” W “

0W = สามารถคงความข้นใสไว้ได้ต่ำกว่า – 30 องศาเซลเซียส โดยไม่เป็นไข
5W = สามารถคงความข้นใสไว้ได้ถึง – 30 องศาเซลเซียส โดยไม่เป็นไข
10W= สามารถคงความข้นใสไว้ได้ถึง – 20 องศาเซลเซียส โดยไม่เป็นไข
15W= สามารถคงความข้นใสไว้ได้ถึง – 10 องศาเซลเซียส โดยไม่เป็นไข
20W= สามารถคงความข้นใสไว้ได้ถึง 0 องศาเซลเซียส โดยไม่เป็นไข

ในส่วนเรื่องค่า ความหนืด การวัดค่าความหนืดจะวัดกันที่ 100 องศาเซลเซียส ได้เป็นออกมาเป็นค่าความหนืด แทนค่าออกมาเป็นตัวเลขเรียกว่า ” เบอร์ของน้ำมันเครื่อง ” เพื่อให้เป็นมาตรฐานสากลเหมือนกันทั่วโลก ทุกๆสถาบันจึงได้แทนค่าความหนืด ออกมาเป็นตัวเลขในรูปของเบอร์ของน้ำมันเครื่อง เช่น 60, 50, 40, 30, 20, 10 และ 5 ค่าตัวเลขยิ่งมากยิ่งมีความหนืดมาก ตัวเลขน้อยยิ่งมีความหนืดน้อยตามลำดับ

ประเภทของ น้ำมันเครื่อง มีอะไรบ้าง

1. น้ำมันเครื่องเกรดเดี่ยว หรือแบบพื้นฐาน

น้ำมันเครื่องเกรดเดี่ยว หรือแบบพื้นฐานนี้ จะมีค่าความหนืดที่เหมาะสม กับ อุณหภูมิเดียวตามฉลากบนแกลอน เช่น SAE 50 หรือ SAE40 ซึ่งหมายความว่า น้ำมันเครื่องชนิดนี้จะปกป้องเครื่องยนต์ได้ดีที่สุด ที่อุณหภูมิ 50 หรือ 40 องศา ตามที่ระบุไว้

ซึ่งแบบนี้จะเหมาะกับรถรุ่นเก่าๆ ที่ใช้รอบเครื่องยนต์ต่ำๆ หรือประเทศเขตร้อนอย่างบ้านเรา ข้อดี คือ ราคาถูก แต่ไม่เป็นที่นิยมเพราะอายุการใช้งานสั้น

2. น้ำมันเครื่องเกรดรวม หรือ Multi Grad

น้ำมันเครื่องเกรดรวม หรือ Multi Grad เป็นน้ำมันเครื่องที่สามารถเปลี่ยนแปลงค่าความหนืดได้ เช่น ในอุณหภูมิสูง ก็จะมีความใส พออุณหภูมิต่ำลง ก็ยังสามารถคงความข้นใสเอาไว้ได้ เพื่อให้เหมาะสมกับการเลือกใช้ ในทุกอุณหภูมิของเครื่องยนต์

สังเกตง่ายๆ คือจะระบุค่าความหนืดมาให้ 2 ตัว โดยมีตัวอักษร W คั่นกลาง เช่น SAE 20W50 หรือ API 15W40 เป็นต้น ซึ่งปัจจุบันเป็นแบบที่นิยมใช้มากที่สุด หาซื้อได้ทั่วไป นิยมใช้กับรถรุ่นใหม่

3. น้ำมันเครื่องสังเคราะห์ หรือ “Synthetic”

น้ำมันเครื่องสังเคราะห์ หรือ “Synthetic”  คือ น้ำมันเครื่องที่ผลิตจาก น้ำมันแร่ ซึ่งได้จากกระบวนการทางปิโตรเลี่ยม เพื่อให้มีคุณสมบัติพิเศษ กว่าน้ำมันแร่ทั่วไป เช่น ความคงทนต่อการทำปฏิกิริยา กับออกซิเจนในอากาศ อายุการเปลี่ยนถ่าย และ การใช้งานนานขึ้น มีอัตราการระเหยต่ำลดปัญหาการสิ้นเปลืองหล่อลื่น รวมถึงแบบ กึ่งสังเคราะห์ (Semi-Synthetic) ที่ผลิตจากการนำน้ำมันแร่มาผสมกับน้ำมันพื้นฐานสังเคราะห์ เพื่อเสริมคุณสมบัติให้ดีขึ้น กว่าน้ำมันเครื่องทั่วไป และมีราคาถูกกว่าน้ำมันเครื่องสังเคราะห์

รถยนต์แต่ละประเภท จะใช้ค่าความหนืดต่างกัน
สำหรับรถยนต์ที่ยังใหม่ ควรเลือกน้ำมันเครื่องที่มีค่าความหนืดต่ำ เช่น 30 เป็นต้น
สำหรับรถยนต์ที่ผ่านการใช้งานมานาน ควรเลือกน้ำมันเครื่องที่มีค่าความหนืดสูง เช่น 40 หรือ 50 เป็นต้น

นอกจากการดูค่าความหนืดแล้ว เพื่อนๆอาจยังต้องดู ชนิดของน้ำมันเครื่อง , ยี่ห้อ และ ราคาประกอบการตัดสินใจซื้อไปด้วย

หากต้องการหาน้ำมันเครื่องสักอัน สามารถเลือกซื้อได้ที่เว็บไซต์GOZOMALL หรือ คลิกเลย https://bit.ly/3zuwGrD

ข้อสังเกตรถยนต์ของคุณ

4 ข้อสังเกต หากอยากดูแลรถยนต์ให้อยู่ด้วยกันไปนานๆ

1) ทำไมรู้สึกเหมือนยางมันแบนๆ

เมื่อปัญหานี้เกิดขึ้น ก็มีความจำเป็นเร่งด่วนเลยที่จะซ่อมแซมด้วยการปะยางหรือเปลี่ยนยางรถยนต์นะครับ เป็นการซ่อมแซมที่มีค่าใช้จ่ายไม่สูงเกินไปทำให้เพื่อนๆก็สามารถนำรถยนต์ไปซ่อมได้ทันทีเมื่อรถยนต์มีอาการกระตุกหรือเหมือนเราขับรถอยู่บนหลุมตลอดเวลา นั่นเป็นเพราะยางรถยนต์อาจจะมีลมไม่เพียงพอ ยางแบน หรือล้อรถยนต์เบี้ยว รวมถึงอาจมีเศษหินฝังอยู่ในหน้าล้อยาง ปัญหาเหล่านี้สามารถซ่อมแซมได้ง่ายและรวดเร็ว และรถยนต์ของเพื่อนๆก็จะกลับมามีสมรรถนะที่พร้อมใช้ดังเดิมได้ครับ

2) หยุดรถยากจัง

ในขณะที่เพื่อนๆพยายามจะเบรครถ แต่พอเริ่มแตะเบรค รถก็เกิดอาการกระตุกก่อนที่รถจะหยุดซะงั้น โดยเฉพาะเวลาขับผ่านหลุมบ่อหรือเนินเตี้ยๆ หรือสังเกตเห็นว่ารถยนต์มีลักษณะเอียงไปด้านใดด้านหนึ่ง นั่นหมายความว่าตัวสปริงมีปัญหา เพราะฉะนั้น ควรนำรถยนต์ไปตรวจเช็คและรีบซ่อมแซมทันทีครับ

3) ทำไมเปลี่ยนเกียร์ยากแบบนี้

ผมมั่นใจว่า เพื่อนๆคงไม่อยากให้รถของตัวเองมีปัญหาในการเปลี่ยนเกียร์อย่างแน่นอนใช่ไหมครับ แต่เรื่องแบบนี้สามารถเกิดขึ้นได้ และปัญหานี้แหละที่อาจเป็นตัวต้นเหตุของรถมีอาการกระตุก เพราะฉะนั้น เวลาเปลี่ยนเกียร์แล้วรถยนต์มีอาการกระตุก ก็ให้รีบดูแลรถยนต์โดยการนำเข้าอู่เพื่อให้ผู้เชี่ยวชาญตรวจเช็ค เนื่องจากหากรอจนนานเกินไป ปัญหาอาจจะเพิ่มมากขึ้นและค่าใช้จ่ายในการดูแลรถยนต์ก็จะเพิ่มขึ้นตามไปด้วยครับ

4) แตะเบรคแล้ว แต่ทำไมรถยังไหล

เพื่อนๆที่ขับรถยนต์ อาจเคยเจอปัญหาที่เบรคตอบสนองเร็วหรือช้าเกินไป หรือเวลาเบรคแล้วมีเสียงเสียดสีเกิดขึ้น นั่นคือเบรคของเรามีอาการผิดปกติแล้วนะครับ เราจึงไม่ควรนิ่งนอนใจ แล้วนำรถไปตรวจเช็คสภาพเบรคอย่างทันที เพราะถ้าเบรคมีปัญหา ก็อาจนำไปสู่อุบัติเหตุที่ไม่คาดคิดได้

ขอบคุณบทความจาก : www.carsome.co.th

รถสตาร์ทไม่ติด ต้องบอกอาการช่าง ให้ละเอียด !

รถสตาร์ทไม่ติด ต้องบอกอาการช่างให้ละเอียด เพื่อการแก้ไขที่ถูกต้อง

เมื่อเครื่องของรถมีปัญหา เครื่องสตาร์ทไม่ติด หลายคนนึกว่าบอกแค่นี้พอ ทั้งที่จำเป็นต้องมีการสื่อสารเพื่อบอกช่างหรือขอความช่วยเหลือที่ละเอียดกว่านี้ เพราะแค่บอกว่าเครื่องสตาร์ทไม่ติด จะไม่สามารถสื่อถึงอาการของปัญหาที่แท้จริงได้
เครื่องสตาร์ทไม่ติด มีหลายอาการแตกต่างกัน

1.บิดกุญแจแล้วเครื่องไม่หมุน มีเสียงดังแชะๆ หรือไม่ดังเลย มีโอกาสเป็นปัญหาที่แบตเตอรีหรือไดสตาร์ท มักไม่ใช่ปัญหาที่ตัวเครื่องตรวจสอบไฟในแบต เตอรีได้คร่าวๆ โดยเปิดไฟหน้าหรือบีบแตรดูอาการว่าปกติหรือไม่ แบตฯ อาจอ่อนจนเกือบหมด ทำให้หมุนไดสตาร์ทไม่ไหว ได้แค่กระตุ้นตัวโซลินอยด์เบาๆ แต่หมุนไม่ไหว จึงมีแค่เสียงแชะๆ หากแบตเตอรีมีไฟ ไดสตาร์ตอาจเสีย มีทั้งแบบเสียเลย ต้องถอดไดสตาร์ทออกซ่อม หรือแค่สกปรกภายใน ลองหาอะไรเคาะที่ตัวไดสตาร์ทก่อน ถ้าแค่สกปรกก็อาจทำงานได้ แต่ต้องถอดเพื่อตรวจสอบในภายหลัง แต่ถ้าเคาะและยังไม่ทำงาน ก็ต้องถอดซ่อม อาการเสียแบบนี้ ถ้าเป็นระบบเกียร์ธรรมดา สามารถเข็นและเข้าเกียร์ 2 ถอนคลัตช์ กระตุกติดเครื่องได้ ถ้าแบตเตอรีไฟอ่อนหรือหมด ปัญหาอยู่ที่แบตฯเสื่อมเก็บไฟไม่อยู่ หรือไดชาร์จไม่ปกติ สามารถพ่วงแบตฯ จากภายนอก เพื่อสตาร์ทเครื่องให้ติดได้ เมื่อเครื่องทำงานแล้ว ให้ดูไฟรูปแบตเตอรีที่หน้าปัดว่าสว่างหรือเรื่อๆ หรือไม่ ถ้ามี แสดงว่าระบบไดชาร์จไม่ปกติ ใช้แต่ไฟจากแบตฯ จนอ่อนลงเรื่อยๆ เมื่อไรที่ไฟไม่พอสำหรับอุปกรณ์สำคัญ เครื่องก็จะดับแต่ถ้าไฟรูปแบตเตอรีมืด แสดงว่าการชาร์จไฟปกติ ถึงแบตฯ จะเสื่อม แต่ถ้าไม่ทำให้เครื่องดับ ก็สามารถขับไปได้เรื่อยๆ

2.บิดกุญแจแล้วเครื่องหมุนอืดๆ ช้ากว่าปกติ แล้วก็ไม่ยอมทำงานเอง หมุนได้อืดๆ จากแรงของไดสตาร์ตเมื่อบิดกุญแจค้างอยู่เท่านั้น พอจะได้ยินเสียงไดสตาร์ทและการหมุนของเครื่อง แต่เป็นการหมุนช้าๆ อืดๆอาการนี้มักจะมีปัญหามาจากแบตเตอรีไฟอ่อน ทั้งแบตฯ เสื่อม หรือไดชาร์จไม่ปกติ ไม่ใช่ปัญหาหาที่ตัวเครื่องอาการเสียแบบนี้ถ้าเป็นระ บบเกียร์ธรรมดา สามารถเข็นและเข้าเกียร์ 2 ถอนคลัตช์ กระตุกติดเครื่องได้ หรือถ้าเป็นเกียร์อัตโนมัติก็สามารถพ่วงแบตเตอรีจากภายนอก เพื่อสตาร์ทเครื่องให้ติดได้ เมื่อเครื่องทำงานแล้ว ให้ดูไฟรูปแบตเตอรีที่หน้าปัด ว่าสว่างหรือเรื่อๆ หรือไม่ ถ้ามี แสดงว่าระบบไดชาร์จไม่ปกติ ใช้แต่ไฟจากแบตฯ ีจนอ่อนลงเรื่อยๆ ไม่นานเครื่องก็๋จะดับ ถ้าจะขับให้ได้ไกลหน่อย ก็ต้องหาแบตที่มีไฟมากๆ มาใส่หรือพ่วงไว้แต่ถ้าไฟรูปแบตเตอรีไม่สว่าง แสดงว่าการชาร์จไฟปกติ ถึงแบตฯ จะเสื่อม แต่ถ้าไม่ทำให้เครื่องดับ ก็สามารถขับไปได้เรื่อยๆ

3.บิดกุญแจแล้วเครื่องหมุนเร็วตามปกติด้วยแรงของไดสตาร์ท แต่ไม่หมุนเอง ปล่อยกุญแจแล้วก็หยุดหมุน อาการนี้หลายคนเข้าใจผิดว่า แบตเตอรีเสียหรือไดสตาร์ทเสีย เตรียมหาแบตฯ มาพ่วง ทั้งที่ความจริง แบตฯ และไดสตาร์ทเป็นปกติ เพราะเมื่อบิดกุญแจแล้ว เครื่องหมุนได้เร็วด้วยไดสตาร์ต แต่เครื่องไม่สามารถทำงานได้เอง เมื่อปล่อยการบิดกุญแจเครื่องก็หยุดหมุนปัญหาอยู่ที่ ตัวเครื่อง เพราะแบตฯและไดสตาร์ทปกติดี ไม่ต้องเข็นกระตุกหรือหาแบตฯมาพ่วง ให้ตรวจสอบที่ตัวเครื่องยนต์ เช่น มีไฟมีเลี้ยงระบบหรือไม่ ปั๊มส่งน้ำมันเชื้อเพลิงทำงานดีหรือเปล่า ฯลฯ โดยต้องตรวจสอบระบบต่างๆ ของเครื่องเพื่อหาปัญหาที่แท้จริงอาการนี้ มีแนวโน้มจะซ่อมในพื้นที่ซึ่งรถจอดเสียได้ยากกว่า 2 อาการแรก ที่ถ้าทำให้เครื่องหมุนได้เครื่องก็ทำงานเองได้ และสามารถแก้ปัญหาเฉพาะหน้าแบบชั่วคราวได้ง่าย แค่กระตุกรถหรือพ่วงแบตเตอรีก็น่าจะไปได้เครื่องหมุน จี๋ด้วยไดสตาร์ต แต่เครื่องไม่ทำงานเอง เป็นปัญหาที่เครื่อง ไม่เกี่ยวกับไดสตาร์ทและแบตฯ หลายกรณีที่พบ อาจไม่สามารถซ่อมบริเวณที่รถจอดอยู่ได้อย่างสะดวก ต้องยกหรือลากรถไปซ่อมต่อไป

ขอบคุณบทความจากโตโยต้า

เช็คด่วน ! 5 สาเหตุที่ทำให้รถสั่น

เครื่องยนต์สั่นเกิดจากอะไร รวม 5 สาเหตุที่พบบ่อย สำหรับอาการเครื่องยนต์สั่น รถสั่นเร่งไม่ขึ้น จนน่ารำคาญ พร้อมวิธีการตรวจเช็ก แก้ไข มีอะไรบ้าง มาดูกัน!
เครื่องยนต์สั่น อาจอีกปัญหาหนึ่งที่ผู้ใช้รถอาจต้องเคยประสบพบเจอ ทั้งขณะขับรถ รอบเดินเบาไม่นิ่ง หรือสะดุดกึก ๆ ระหว่างขับขี่ แม้จะเป็นปัญหาที่ดูเหมือนไม่ร้ายแรงมาก แต่ก็สร้างความน่ารำคาญได้เยอะพอสมควรเลยทีเดียว ซึ่งอาการเครื่องสั่นสะท้านนั้น เกิดได้จากหลายสาเหตุเชียวล่ะ!
เช็กด่วน! 5 สาเหตุที่ทำให้เครื่องยนต์สั่น

เครื่องยนต์สั่นเกิดจากอะไร รวม 5 สาเหตุที่พบบ่อย สำหรับอาการเครื่องยนต์สั่น รถสั่นเร่งไม่ขึ้น จนน่ารำคาญ พร้อมวิธีการตรวจเช็ก แก้ไข มีอะไรบ้าง มาดูกัน!
เครื่องยนต์สั่น อาจอีกปัญหาหนึ่งที่ผู้ใช้รถอาจต้องเคยประสบพบเจอ ทั้งขณะขับรถ รอบเดินเบาไม่นิ่ง หรือสะดุดกึก ๆ ระหว่างขับขี่ แม้จะเป็นปัญหาที่ดูเหมือนไม่ร้ายแรงมาก แต่ก็สร้างความน่ารำคาญได้เยอะพอสมควรเลยทีเดียว ซึ่งอาการเครื่องสั่นสะท้านนั้น เกิดได้จากหลายสาเหตุเชียวล่ะ!
เครื่องยนต์สั่น
ปัญหารถสั่นรอบเดินเบา รถยนต์สั่น เกิดจากปัญหาในส่วนใดของรถ

  1. มอเตอร์ควบคุมรอบเดินเบาสกปรก
    สาเหตุ
    มอเตอร์ควบคุมรอบเดินเบา หรือไอเดิ้ล วาล์ว (Idle Speed Control) จะทำหน้าที่ควบคุมปริมาณการไหลของอากาศ ส่งผลต่อรอบเดินเบา โดยอุปกรณ์นี้นี้จะควบคุมรอบเดินเบาไม่ให้เครื่องรอบตกนั่นเอง และเมื่อเกิดสิ่งสกปรกอุดตัน ไอเดิ้ล วาล์ว จะเกิดอาการติดขัดระหว่างการทำงานได้
    วิธีดูแลและแก้ไข
    วิธีการแก้ไขนั้นไม่ยาก เมื่อสกปรกก็ต้องนำมาล้างและทำความสะอาดใหม่ แต่ถ้ายังพบปัญหาเดิม ๆ อยู่ ควรเปลี่ยนไอเดิ้ล วาล์ว ใหม่จะดีที่สุด เพื่อตัดปัญหาเครื่องยนต์สั่นนั่นเอง
  2. ยางแท่นเครื่องเสื่อม
    สาเหตุ
    อีกหนึ่งสาเหตุยอดนิยมที่ทำให้เกิดอาการเครื่องสั่น ขณะอยู่ในช่วงรอบเดินเบา อาจเกิดจากยางแท่นเครื่องชำรุด เนื่องจากยางแท่นเครื่องมีหน้าที่ดูดซับแรงสั่นสะเทือนขณะที่เครื่องกำลังหมุน เมื่อใช้งานไปนาน ๆ จะเกิดอาการเสื่อมหรือฉีกขาด ทั้งนี้ หากแก้ปัญหาเฉพาะหน้าด้วยการเหยียบคันเร่งให้รอบเครื่องสูงขึ้น อาการสั่นจะหายไปก็จริง แต่อาจทำให้ลูกยางแท่นเครื่องขาดได้
    วิธีดูแลและแก้ไข
    ถ้ายางแท่นเครื่องชำรุด ควรให้ช่างเปลี่ยนยางแท่นเครื่องใหม่ ซึ่งโดยปกติแล้ว เมื่อมีอายุการใช้งานครบ100,000 กิโลเมตร ควรเปลี่ยนใหม่ แต่ถ้ารถของคุณไม่ได้ใช้งานหนัก หรือเห็นว่ายางแท่นเครื่องยังมีสภาพดีอยู่ อาจจะใช้งานต่ออีกสักพักแล้วค่อยเปลี่ยนใหม่ก็ได้เช่นกัน ทั้งนี้ เพื่อยืดอายุการใช้งานให้นานขึ้น เมื่อเจอทางขรุขระ, ลูกระนาด, หลุม, หรือเศษหินเกลื่อนกลาดอยู่ตามพื้นถนน ควรลดความเร็วลง หรือใช้ความเร็วต่ำ
  3. ลิ้นปีกผีเสื้อสกปรก
    สาเหตุ
    ลิ้นปีกผีเสื้อสกปรก เป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้รอบเครื่องยนต์สวิง ไม่นิ่ง และสั่น เนื่องจากปีกผีเสื้อมีหน้าที่ควบคุมอากาศที่เข้ามาในห้องเผาไหม้ เมื่อใช้งานไปนาน ๆ จะมีคราบน้ำมัน, คราบเขม่า และฝุ่นละอองมาเกาะ ซึ่งนอกจากจะมีส่วนทำให้เครื่องยนต์ทำงานไม่ราบเรียบแล้วยังและกินน้ำมันขึ้นกว่าปกติด้วย
    วิธีดูแลและแก้ไข
    ควรถอดลิ้นปีกผีเสื้อออกมาล้างทำความสะอาด โดยอาจใช้บริการศูนย์บริการ หรือทำด้วยตัวเองก็ได้หากมีทักษะและเครื่องมือ เพราะไม่ต้องอาศัยความชำนาญเป็นพิเศษ อย่างไรก็ตาม เมื่อลิ้นปีกผีเสื้อมีอายุการใช้งานประมาณ 20,000-30,000 กิโลเมตร ควรนำมาทำความสะอาด เพื่อยืดอายุการใช้งานให้นานขึ้น
  4. หัวเทียนเสื่อมสภาพ/ หัวเทียนสูบใดสูบหนึ่งไม่ทำงาน
    สาเหตุ
    หากรถของคุณมีอาการอาการสั่นจากเครื่องยนต์ เดินไม่เรียบ หรือสตาร์ตติดยาก เป็นไปได้ว่าอาจเกิดจากหัวเทียนชำรุด เพราะหัวเทียนมีหน้าที่จุดระเบิดและส่งกระแสไฟ เพื่อทำให้เกิดการระเบิดจนผลักให้ลูกสูบเคลื่อนที่ขึ้น-ลง จนสามารถขับเคลื่อนเครื่องยนต์ได้ หากเสื่อมสภาพหรือมักเรียกกันว่าหัวเทียนบอด มักจะเกิดอาการดังกล่าว เนื่องจากหัวเทียนจุดประกายไฟไม่สม่ำเสมอนั่นเอง
    วิธีดูแลและแก้ไข
    เมื่อรถของคุณมีอาการเช่นนี้ ให้ลองสังเกตหัวเทียนว่ามีสภาพเป็นอย่างไร หากสึกกร่อน หรือเต็มไปด้วยคราบเขม่า, คราบน้ำมัน ควรเปลี่ยนใหม่ทันที ซึ่งเราขอแนะนำว่าให้เปลี่ยนใหม่พร้อมกันทุกหัว เพื่อการทำงานที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น (แล้วแต่จำนวนกระบอกสูบหรือรูปแบบเครื่องยนต์ เช่น Twin Spark ก็จะใช้หัวเทียนมากหน่อย)
  5. สายท่อ Vacuum รั่ว
    สาเหตุ
    อีกสาเหตุหนึ่งที่มีความเป็นไปได้ หากรถของคุณมีอาการสั่น, รอบเดินเบาไม่นิ่ง, จะดับไม่ดับแหล่ และต้องคอยเร่งเครื่องตลอดเวลานั้น อาจเกิดจากสายท่อ Vacuum รั่วในจุดใดจุดหนึ่ง เนื่องจากท่อ Vacuum มีหน้าที่ช่วยเร่งไฟจุดระเบิดในรอบเดินเบา ให้เครื่องยนต์ไม่สั่น
    วิธีดูแลและแก้ไข
    เบื้องต้น ให้ตัดปลายสายที่ปริแตกออกก่อน แล้วเสียบกลับคืนใหม่ แต่ถ้ายังพบปัญหาเดิม ควรเปลี่ยนสายท่อ Vacuum ใหม่ “ทุกเส้น” ในเครื่องยนต์ เพราะหากมีเส้นหนึ่งแตกแล้ว เส้นอื่น ๆ ต้องปริแตกตามอย่างแน่นอน
    ทั้งหมดนี้เป็นเพียงสาเหตุส่วนหนึ่งที่ทำให้ “เครื่องยนต์สั่น” เท่านั้น อย่างไรก็ตามผู้ใช้รถควรสังเกตและตรวจสอบว่ารถของท่านมีอาการเป็นอย่างไร เพื่อจะได้แก้ไขได้อย่างถูกวิธี นอกจากนี้ควรหมั่นเช็กสภาพเครื่องยนต์ และดูแลรักษารถของท่านให้สมบูรณ์ เพื่อยืดอายุการใช้งานให้นานกว่าเดิม
    ขอบคุณข้อมูลจาก : khaorot.com
ล้อแม็กซ์…ไม่ใช่แค่ความสวย

คนไทยดำรงชีวิตควบคู่กับความรักสวยรักงาม แม้แต่รถยนต์ คนไทยก็อดปรับโฉมให้สวยสุดเฉียบไม่ได้ล้อแม็กซ์- ไม่ได้มีไว้เพื่อความสวยงามเท่านั้น แต่ยังมีผลต่อความปลอดภัย ประสิทธิภาพการทรงตัว และอายุการใช้งานของรถยนต์อีกด้วย

พื้นฐาน

โดยผิวเผินแล้ว ล้อแม็กซ์อาจเป็นเพียงอุปกรณ์ประดับรถยนต์ให้สวยงามเท่ านั้น แต่เบื้องลึกมีผลกระทบทั้งด้านเด่นและด้อยอีกมากมาย เพราะล้อแม็กซ์ต้องถูกห่อหุ้มด้วยยางที่หมุนอยู่ตลอดกา รขับเคลื่อน และยึดติดอยู่กับระบบช่วงล่างซึ่งทำหน้าที่หลักในการ ทรงตัว
พื้นฐานของล้อแม็กซ์ถูกพัฒนาขึ้นต่อเนื่องจากการใช้กระ ทะล้อเหล็กแบบดั้งเดิม โดยนำวัสดุที่มีน้ำหนักเบามาผลิตเป็นกระทะล้อ แทนการผลิตแบบเหล็กอัดขึ้นรูปแล้วนำมาเชื่อมประกบกัน แมกนีเซียมเป็นวัสดุที่ถูกนำมาผลิตแทนเหล็กเป็นกระทะ ล้อแบบใหม่ ตั้งแต่หลายสิบปีที่ผ่านมาการลดน้ำหนักกระทะล้อลงมีห ลายจุดประสงค์ อาจมีเพียงจุดประสงค์เดียวหรือหลายจุดประสงค์ร่วมกัน จากคุณสมบัติเด่นของล้อแม็กดังนี้

ช่วยระบายความร้อน

เหล็กอมความร้อนมากกว่าแมกนีเซียมหรืออะลูมินั่มอัลล อย เมื่อกระทะล้อร้อน ยางก็ร้อนตาม และจานเบรก-ผ้าเบรกที่อมความร้อนก็จะลดแรงเสียดทานในการเบรกลง จุดประสงค์นี้มักเน้นในวงการรถแข่ง

ลดภาระระบบช่วงล่าง

เช่นเดียวกับการยืดแขนตรงออกไปแล้วมีสิ่งของหนักหรือ เบาแขวนอยู่ที่มือ สิ่งของน้ำหนักเบาย่อมเบาแรงและขยับแขนได้ง่ายกว่า นอกจากนั้นยังเพิ่มอายุการใช้งานของระบบช่วงล่างได้เล็กน้อยอีกด้วย

ลดแรงต้านการหมุน

กระทะล้อและยางที่มีน้ำหนักมากย่อมหมุนได้ยากกว่า หากลดแรงต้านได้ อัตราเร่งจะดีขึ้น และประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงเพิ่มขึ้นอีกเล็กน้อย
สามารถเพิ่มขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางกระทะล้อ
เพื่อใส่จานดิสก์เบรกขนาดใหญ่มากๆ หรือเพื่อความสวยงาม โดยยังสามารถควบคุมน้ำหนักของกระทะล้อไว้ได้จากวัสดุ น้ำหนักเบา จุดประสงค์นี้มักเน้นในวงการรถแข่งหรือรถยนต์ทั่วไปที่อยากเพิ่มความสวยหรืออยากใส่ยางแก้มเตี้ยลงแต่ต้องการรักษาเส้นรอบวง เดิมไว้
คนไทยดำรงชีวิตควบคู่กับความรักสวยรักงาม แม้แต่รถยนต์ คนไทยก็อดปรับโฉมให้สวยสุดเฉียบไม่ได้ล้อแม็กซ์- มิได้มีไว้เพื่อความสวยงามเท่านั้น แต่ยังมีผลต่อความปลอดภัย ประสิทธิภาพการทรงตัว และอายุการใช้งานของรถยนต์อีกด้วย

พื้นฐาน

โดยผิวเผินแล้ว ล้อแม็กซ์อาจเป็นเพียงอุปกรณ์ประดับรถยนต์ให้สวยงามเท่ านั้น แต่เบื้องลึกมีผลกระทบทั้งด้านเด่นและด้อยอีกมากมาย เพราะล้อแม็กซ์ต้องถูกห่อหุ้มด้วยยางที่หมุนอยู่ตลอดกา รขับเคลื่อน และยึดติดอยู่กับระบบช่วงล่างซึ่งทำหน้าที่หลักในการ ทรงตัว
พื้นฐานของล้อแม็กซ์ถูกพัฒนาขึ้นต่อเนื่องจากการใช้กระ ทะล้อเหล็กแบบดั้งเดิม โดยนำวัสดุที่มีน้ำหนักเบามาผลิตเป็นกระทะล้อ แทนการผลิตแบบเหล็กอัดขึ้นรูปแล้วนำมาเชื่อมประกบกัน แมกนีเซียมเป็นวัสดุที่ถูกนำมาผลิตแทนเหล็กเป็นกระทะ ล้อแบบใหม่ ตั้งแต่หลายสิบปีที่ผ่านมาการลดน้ำหนักกระทะล้อลงมีห ลายจุดประสงค์ อาจมีเพียงจุดประสงค์เดียวหรือหลายจุดประสงค์ร่วมกัน จากคุณสมบัติเด่นของล้อแม็กดังนี้

ช่วยระบายความร้อน

เหล็กอมความร้อนมากกว่าแมกนีเซียมหรืออะลูมินั่มอัลล อย เมื่อกระทะล้อร้อน ยางก็ร้อนตาม และจานเบรก-ผ้าเบรกที่อมความร้อนก็จะลดแรงเสียดทานในการเบรกลง จุดประสงค์นี้มักเน้นในวงการรถแข่ง

ลดภาระระบบช่วงล่าง

เช่นเดียวกับการยืดแขนตรงออกไปแล้วมีสิ่งของหนักหรือ เบาแขวนอยู่ที่มือ สิ่งของน้ำหนักเบาย่อมเบาแรงและขยับแขนได้ง่ายกว่า นอกจากนั้นยังเพิ่มอายุการใช้งานของระบบช่วงล่างได้เ ล็กน้อยอีกด้วย
ลดแรงต้านการหมุน
กระทะล้อและยางที่มีน้ำหนักมากย่อมหมุนได้ยากกว่า หากลดแรงต้านได้ อัตราเร่งจะดีขึ้น และประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงเพิ่มขึ้นอีกเล็กน้อย
สามารถเพิ่มขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางกระทะล้อ
เพื่อใส่จานดิสก์เบรกขนาดใหญ่มากๆ หรือเพื่อความสวยงาม โดยยังสามารถควบคุมน้ำหนักของกระทะล้อไว้ได้จากวัสดุ น้ำหนักเบา จุดประสงค์นี้มักเน้นในวงการรถแข่งหรือรถยนต์ทั่วไปที่อยากเพิ่มความสวยหรืออยากใส่ยางแก้มเตี้ยลงแต่ต้องการรักษาเส้นรอบวง เดิมไว้
ความสวยงาม
วัสดุที่นำมาผลิตล้อแม็กซ์มีสีเงินวาววับ และสามารถออกแบบลวดลายได้หลากหลาย ต่างจากกระทะล้อเหล็กที่ต้องพ่นสีทับและมีลวดลายจำกัดแท้จริงแล้วจุดประสงค์นี้เป็นผลพลอยได้ แต่กลายเป็นจุดเด่นหลักของล้อแม็กซ์ไปแล้ว

การผลิต

ในอดีตล้อแม็กซ์ได้รับความนิยมในกลุ่มรถแข่ง และมีจำหน่ายไม่แพร่หลายนัก เพราะมีต้นทุนการผลิตสูงจากความซับซ้อนของกระบวนการผ ลิต และโลหะแมกนีเซียมที่มีน้ำหนักเบามากๆ แม้มีราคาแพง แต่ก็ไม่ใช่ปัญหา เพราะรถแข่งมีค่าใช้จ่ายเหลือเฟือ ซึ่งต้องการลดแรงต้านการหมุนให้น้อยที่สุด และความร้อนจากจานเบรกก็สูงมาก
เมื่อความสวยงามกลายเป็นจุดเด่นของการเลือกใช้ล้อแม็ กสำหรับรถยนต์ทั่วไป อะลูมินั่มอัลลอยที่มีราคาถูกกว่า ผลิตง่าย และมีน้ำหนักพอเหมาะ จึงถูกนำมาทดแทนในการผลิตล้อแม็กซ์ (แต่แยกออกไปเป็นหลายระดับราคาและคุณภาพ) ผู้ผลิตล้อแม็กซ์คุณภาพสูง ชื่อดัง ราคาแพง มักเลือกใช้วัสดุคุณภาพสูง เพื่อให้ทนทานต่อแรงกระแทก โดยในขั้นตอนการหลอมมีการผสมระหว่างวัสดุหลัก คือ อะลูมินั่มอินกอต, แมกนีเซียม, สตอนเซียม และซิลิกอน ตามสูตรอันแตกต่างของผู้ผลิตแต่ละราย
ล้อแม็กซ์ที่ผลิตจากอะลูมินั่มอัลลอย ได้รับความนิยมต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน มีชื่อเรียกสั้นๆ ว่า -ล้อแม็กซ์- ซึ่งย่อมาจาก -ล้อแมกนีเซียม- แม้ไม่ได้มีการผลิตด้วยแมกนีเซียมเป็นหลักแล้วก็ตาม
แบ่งตามวิธีผลิต

มี 3 วิธีหลัก แตกต่างกันไปตามคุณภาพ ความยุ่งยากในการผลิต และต้นทุน
ตักเท

คุณภาพไม่สูง แต่ผลิตสะดวก ใช้เครื่องมือไม่ซับซ้อนและต้นทุนต่ำ หลอมเนื้อวัสดุด้วยความร้อนจนเหลว เทจากด้านบนลงสู่แม่พิมพ์ด้านล่าง เมื่อแข็งตัวแล้วถอดออกมากลึงให้เรียบ เจาะรู และเสริมความสวยต่อไป ล้อแม็กซ์ที่ผลิตด้วยวิธีนี้มีราคาถูก เนื้อไม่แน่น อาจมีฟองอากาศที่ไม่สามารถไล่ออกได้แทรกอยู่ภายใน จึงไม่ค่อยแข็งแรงและคด-แตกง่าย แพร่หลายที่สุดเพราะราคาถูก ถ้าเป็นอะลูมินั่มอัลลอยคุณภาพสูงและมีความละเอียดใน การผลิต ก็พอใช้ได้

แรงดันตํ่า

คุณภาพดี ต้นทุนสูง และมีราคาเหมาะสมกับความแข็งแรง แม่พิมพ์อยู่ด้านบน หลอมอะลูมินั่มอัลลอยด้วยความร้อนจนเหลวที่เตาด้านล่ าง ส่งผ่านท่อซึ่งต่อขึ้นสู่แม่พิมพ์ด้านบนด้วยแรงดันต่ ำพอเหมาะ ไม่น้อยหรือช้าเกินไปจนเต็ม เพื่อไล่ฟองอากาศจากด้านล่างขึ้นสู่ด้านบน เมื่อแข็งตัวเรียบร้อยแล้วถอดออกมากลึงเรียบ เจาะรู และเสริมความสวยต่อไปได้รับความนิยมทั้งจากผู้ผลิตแล ะผู้บริโภคมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะล้อแม็กซ์มีเนื้อแน่น ฟองอากาศน้อย แข็งแรงทนทานต่อการคด-แตก ถ้ามีโอกาสควรเลือกใช้

แรงดันสูง

คุณภาพดี ต้นทุนสูง และราคาแพง แม่พิมพ์ปิดผนึก หลอมอะลูมินั่มอัลลอยด้วยความร้อนจนเหลว ส่งผ่านท่อซึ่งต่อเข้าสู่แม่พิมพ์ด้วยแรงดันสูงจนเต็ ม พร้อมไล่ฟองอากาศออกไป เมื่อแข็งตัวเรียบร้อยแล้วถอดออกมากลึงเรียบ เจาะรู และเสริมความสวยต่อไป ได้รับความนิยมจากทั้งผู้ผลิตและผู้บริโภคไม่มากนัก แม้ล้อแม็กซ์มีเนื้อแน่น ฟองอากาศน้อย แข็งแรงทนทานต่อการคด-แตก แต่ต้นทุนเครื่องมือสูงเกินความเหมาะสมกับคุณภาพที่ไ ด้ เลือกล้อแม็กซ์ที่ผลิตด้วยวิธีแรงดันต่ำที่ดีก็เพียงพอ แล้ว
แบ่งตามจำนวนชิ้น/วง
1 ชิ้น และ 2-3 ชิ้น (ไม่นับชิ้นที่ปิดดุมหรือนอตตรงกลาง) ล้อแม็กซ์แบบ 1 ชิ้น แพร่หลายและได้รับความนิยมที่สุด เป็นชิ้นเดียวทั้งวง การผลิตไม่ซับซ้อนและต้นทุนไม่สูง

ล้อแม็กซ์แบบแยกชิ้น

มีจุดประสงค์หลักคือต้องการลดน้ำหนัก หรือเพิ่มความสวย แต่มีราคาและต้นทุนสูง สามารถลดน้ำหนักได้โดยแยกหล่อชิ้นหน้าแปลนตรงกลาง และส่วนขอบใช้วิธีรีดวัสดุ เช่น อะลูมิเนียม ให้บางและเบา แล้วนำมาประกบกันด้วยการยึดนอตหรือเชื่อม เพราะการหล่อทั้งวงย่อมทำให้บางเบาหรือสวยไม่ได้เท่า การรีดขึ้นรูปส่วนขอบล้อแม็กซ์แบบ 2 ชิ้น ผลิตขอบล้อ 1 ชิ้น และหน้าแปลนช่วงกลาง 1 ชิ้น
ล้อแม็กซ์แบบ 3 ชิ้น ผลิตขอบล้อ 2 ชิ้น แล้วนำมาเชื่อมกันก่อน หรือประกบยึดนอตพร้อมหน้าแปลนช่วงกลางอีก 1 ชิ้น
นอกจากล้อแม็กซ์แบบแยกชิ้นมีความโดดเด่นในเรื่องการแยก ชิ้นผลิตเพื่อลดน้ำหนักแล้ว ยังสามารถแยกผลิตให้ล้อแม็กซ์ลวดลายเดียวมีหลายขนาดควา มกว้าง หรือความกว้างเดียวมีหลายลวดลาย ด้วยการจับคู่สลับกันระหว่างขอบล้อกับหน้าแปลนช่วงกล างอีกด้วยจำนวนชิ้นต่อล้อแม็ก 1 วง ยังเกี่ยวข้องกับความสวยงามและการแยกชิ้นซ่อมแซม ล้อแม็กหลายชิ้นมักดูสวยกว่า จนล้อแม็กชิ้นเดียวบางลวดลาย ออกแบบหลอกให้ดูเหมือนเป็นล้อแม็กหลายชิ้นด้วยการฝัง นอตตัวเล็กรอบๆ
ขนาด
การระบุขนาดของล้อแม็กซ์มีอยู่ 2 จุดมีหน่วยเป็นนิ้ว คือ เส้นผ่าศูนย์กลาง หรือเรียกสั้นๆ ว่าขอบ…นิ้ว เช่น 13, 15,…นิ้ว ต้องพอดีกับเส้นผ่าศูนย์กลางของยาง (มีหน่วยเป็นมิลลิเมตร) ที่จะนำมาใส่ และความกว้างหรือเรียกสั้นๆ ว่ากว้าง…นิ้ว มีหน่วยจำนวนเต็มหรือ .5 เช่น 5, 5.5, 8,…นิ้ว เกี่ยวข้องกับหน้ากว้างของยางที่จะนำมาใส่ เมื่อเรียกรวมกันจะระบุบนตัวล้อแม็ก เช่น ขนาด 6 X 15 นิ้ว หมายความว่าหน้ากว้าง 6 นิ้ว เส้นผ่าศูนย์กลาง 15 นิ้ว

ระยะ PCD

PCD-PITCH CIRCLE DIAMETER หมายถึง ระยะห่างของรูนอตบนตัวล้อแม็กซ์และดุมล้อที่ต้องเท่ากั น โดยวัดจากกึ่งกลางรูนอตทุกตัวลากเส้นเป็นวงกลม แล้ววัดผ่านเส้นผ่าศูนย์กลาง มีหน่วยเป็นมิลลิเมตร ถ้าเป็นจำนวนเลขคู่ 4 หรือ 6 รูนอตต่อ 1 ล้อ ก็สามารถวัดจากกึ่งกลางรูนอตด้านหนึ่งไปยังด้านตรงข้ ามได้เลย แต่ถ้าเป็นจำนวนเลขคี่ 3 หรือ 5 รูนอต ต้องวัดจากแนววงกลมกึ่งกลางรูนอตผ่านเส้นผ่าศูนย์กลาง
รถยนต์ขนาดเล็กมักมี 4 รูนอตต่อ 1 ล้อ และรถยนต์ขนาดใหญ่ขึ้นไปมักมี 5-6 รูนอต เพื่อความแน่นหนาในการยึดล้อเข้ากับดุมล้อ ระยะ

PCD

ของรถยนต์รุ่นใหม่แบบ 4 รูนอต นิยมที่ 100 มิลลิเมตร ส่วนระยะ PCD อื่นมีมากมาย เช่น 98, 108, 110, 114.3 (มาจาก 5 5/8 นิ้ว), 120, 130 มิลลิเมตร ฯลฯ
หากล้อแม็กซ์กับดุมล้อมีระยะ PCD ไม่ตรงกัน มีหลายวิธีดัดแปลง เช่น เจาะดุม เจาะล้อแม็ก คว้านรูนอตเดิมแล้วอัดบู๊ชแบบเยื้อง และใส่อแดปเตอร์ ฯลฯ แต่ควรหลีกเลี่ยง เพราะอาจด้อยกว่ามาตรฐานจนเกิดอาการล้อสั่นหรือไม่ได ้สมดุลขึ้นได้ และยังมีล้อแม็กหลายยี่ห้อหลายรุ่นให้เลือกอีกมากที่ มีระยะ PCD ตรงกับดุมล้อ หากชอบล้อแม็กลวดลายนั้นจริงอาจดัดแปลงได้ แต่ต้องใช้ฝีมือช่างและความละเอียดมากๆ (กลายเป็นเรื่องปกติของวงการตกแต่งรถยนต์ของคนไทยไปแล้ว)

ออฟเซต

OFFSET-ออฟเซต คือ ตำแหน่งของหน้าแปลนด้านหลังของล้อแม็กซ์ที่ต้องยึดติดก ับดุมล้อ เมื่อเปรียบเทียบกับกึ่งกลางล้อแม็กซ์ด้านขวาง ระบุเป็นบวกหรือลบด้วยหน่วยมิลลิเมตรบนตัวล้อแม็กด้า นหน้าหรือด้านหลัง เช่น 0, +30, -25 ฯลฯ ล้อแม็กที่มีค่าออฟเซตเท่ากัน อาจยื่นออกมาจากดุมล้อไม่เท่ากัน ถ้าความกว้างของล้อแม็กไม่เท่ากัน เช่น ล้อแม็ก 2 วง มีค่าออฟเซต 0 มิลลิเมตรเท่ากัน คือ หน้าสัมผัสของล้อแม็กกับดุมอยู่ตรงกลางพอดี แต่วงหนึ่งมีความกว้าง 6 นิ้ว กับอีกวงมีความกว้าง 7 นิ้ว วงแรกจะยื่นออกมาจากดุม 3 นิ้ว และวงหลังจะยื่นออกมา 3.5 นิ้ว ทั้งที่มีค่าออฟเซต 0 มิลลิเมตรเท่ากัน
ค่าออฟเซตน้อยหรือลบมากเกินไป
ล้อแม็กจะยื่นออกมาจากดุมล้อมาก
ระยะออฟเซตมากหรือบวกมากเกินไป ล้อแม็กจะหุบเข้าไปในตัวถัง เช่นล้อแม็ก 2 วงมีขนาดเท่ากันทุกอย่าง ทั้งเส้นผ่าศูนย์กลางและหน้ากว้าง ยกเว้นค่าออฟเซต ล้อแม็กวงหนึ่ง -20 มิลลิเมตร และอีกวง +10 มิลลิเมตร วงแรกเมื่อใส่เข้ากับตัวรถยนต์จะยื่นออกมามากกว่าอีก วง 30 มิลลิเมตร (-20+10=30 มิลลิเมตร)
รถยนต์ขับเคลื่อนล้อหลังมักกำหนดให้ใช้ล้อแม็กที่มีค่าออฟเซตเป็นลบ หรือบวกไม่มากนัก ดูแล้วล้อแม็กจะเป็นหลุมลงไป และรถยนต์ขับเคลื่อนล้อหน้า (หรือขับเคลื่อนล้อหลังรุ่นใหม่) มักใช้ล้อแม็กค่าออฟเซตเป็นบวก ดูแล้วล้อแม็กจะหน้าเต็มๆ เพราะในการออกแบบและทดสอบพบว่า ล้อแม็กที่มีค่าออฟเซตมากหรือบวกมาก เมื่อยางแตกรถยนต์จะเสียการทรงตัวน้อย
การเปลี่ยนล้อแม็กวงโตกับยางแก้มเตี้ย เช่น ล้อแม็กขอบ 16-17 นิ้ว กับยาง 45-50 ซีรีส์ ตามความนิยมเพิ่มความสวย คนส่วนใหญ่มักมีมุมมองเบื้องต้นว่ายางจะติดขอบบังโคล นด้านใน เพราะมีขนาดล้อแม็กเพิ่มขึ้น ทั้งที่อาจเกี่ยวข้องกับค่าออฟเซตที่น้อยเกินไป ซึ่งมีผลโดยตรงต่อการยื่นหรือหุบเข้าไปของล้อแม็กกับ ขอบบังโคลนของตัวถัง เช่น เปลี่ยนล้อแม็กวงโตแล้วยางกระแทกขอบบังโคลนเมื่อรถยน ต์ถูกโหลดลดความสูงหรือยุบตัวมากๆ ทำให้หลายคนรีบสรุปว่าล้อแม็กมีเส้นผ่าศูนย์กลางมากเ กินไป เช่น ขอบ 16-17 นิ้ว ทั้งที่จริงแล้วอาจมีปัญหามาจากค่าออฟเซต ในความเป็นจริง ยางจะติดขอบบังโคลนด้านในหรือเปล่า ? อยู่ที่ 2 กรณีหลัก คือ ขนาดของล้อแม็กและยาง และค่าออฟเซตของล้อแม็ก
ถ้าไม่เลือกล้อแม็กขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางใหญ่เกินไป เช่น โตโยต้า โคโรลล่า เลือกล้อแม็กขอบ 15-16 นิ้ว แล้วยางยังกระแทกขอบบังโคลนด้านในโดยส่วนใหญ่จะเกิดปัญหาจากค่าออฟเซตไม่เหมาะสม คือ ล้อแม็กและยางจะยื่นเลยออกมานอกแนวขอบบังโคลน เมื่อโหลดลดความสูงของตัวถังลงมาหรือรถยนต์ยุบตัวมาก ๆ ขอบบังโคลนด้านในจะกระแทกกับยางจนเกิดเสียงดังและยาง เสียหาย
ยกตัวอย่างให้เห็นชัดเจนว่า แม้จะใส่ล้อแม็กแค่ 13 นิ้ว แต่ถ้าออฟเซตลบมากๆ จนล้อแม็กยื่นออกมาเลยขอบบังโคลนด้านใน ยางก็ยังมีโอกาสถูกกระแทกได้การเลือกเปลี่ยนล้อแม็กข นาดใหม่ ควรอ้างอิงค่าออฟเซตกับล้อแม็กมาตรฐานเดิม โดยอ่านจากตัวล้อแม็กบริเวณด้านหน้าหรือด้านหลังตามห ลักการ ไม่ควรเลือกล้อแม็กที่มีค่าออฟเซตต่างจากมาตรฐานเดิม เกิน 5-10 มิลลิเมตร แต่ในทางปฏิบัติสามารถประยุกต์ได้ ล้อแม็กที่ใส่แล้วสวยคือใส่แล้วดูเต็มบังโคลน แต่เมื่อรถยนต์ยุบตัว ยางต้องไม่กระแทกกับขอบบังโคลน หรือเรียกกันกลายๆ ว่า ปริ่มขอบบังโคลน
การเลือกแบบประยุกต์หรือสูตรสำเร็จก็คือ ลองใส่ล้อแม็กพร้อมยาง แล้วนำรถยนต์ขับเดินหน้า-ถอยหลังสัก 4-5 ครั้ง เพื่อให้ช่วงล่างปรับเข้าสู่ระยะปกติ หาคนนั่งในรถยนต์บนเบาะหลัง 2-3 คน พร้อมขย่มตัวถังเหนือล้อหลัง แล้วดูว่าริมขอบบังโคลนด้านในยุบลงมากระแทกยางหรือเป ล่า ถ้าสามารถพับหรือเจียร์ขอบบังโคลนด้านในหลบได้ก็จัดก ารไปเลย โดยต้องระวังไม่ให้สีด้านนอกเสียหาย แต่ถ้าติดมาก คือพับหรือเจียร์ขอบบังโคลนด้านในแล้วยังไม่น่าจะพ้น ก็หมดสิทธิ์ใส่ล้อแม็กชุดนั้น แม้ตัวรถยนต์ไม่ได้โหลดลดความสูงลง แต่ก็ต้องทดลองขย่มเผื่อไว้สำหรับการบรรทุกหนักหรือก ารกระแทกที่อาจเกิดขึ้นได้

ค่าออฟเซตมากหรือบวกเกินไป

ล้อและยางจะหุบเข้าไปในตัวถัง ดูไม่สวย อาจติดช่วงล่างบางชิ้น ฐานล้อระหว่างซ้าย-ขวาน้อยลง และสูญเสียประสิทธิภาพการทรงตัวลงไป

การดัดแปลงค่าออฟเซต

ความอยากสวยห้ามกันยาก เมื่อล้อแม็กลวดลายนั้นประทับใจมาก แต่ค่าออฟเซตน้อย-มากเกินไป จนล้อหุบ-ล้น หรือระยะ PCD ไม่เท่ากัน หรือจำนวนรูนอตไม่เท่ากันระหว่างดุมล้อกับล้อแม็ก สามารถดัดแปลงในหลายกรณีได้ดี แต่บางกรณีแย่และควรหลีกเลี่ยง

ค่าออฟเซตน้อยหรือติดลบเกินไป

ถ้าล้อแม็กจะล้นออกมาเกินปกติ แสดงว่าค่าออฟเซตน้อยหรือติดลบเกินไป เมื่อรถยนต์ยุบตัวลงหรือโหลด ยางอาจกระแทกกับขอบบังโคลนด้านใน ถ้าติดหรือกระแทกไม่มาก ก็สามารถพับหรือเจียร์ขอบบังโคลนหลบได้ แต่ต้องระวังไม่ให้สีด้านนอกเสียหายถ้ายังไม่พ้นลองพ ลิกดูด้านหลังล้อแม็กบริเวณหน้าสัมผัส ว่ามีเนื้อหนาพอจะเจียร์ให้บางลงสัก 2-3 มิลลิเมตรได้ไหม ถ้าเจียร์ได้ก็ยังพอเพิ่มค่าออฟเซตให้ล้อหุบเข้าไปได ้อีกเล็กน้อย แต่ต้องแน่ใจว่าล้อแม็กจะไม่บางเกินไปจนแตกหักง่าย

ค่าออฟเซตมากไป

หากล้อแม็กหุบเข้าไปเกินปกติ แสดงว่าค่าออฟเซตมากไป กรณีนี้ไม่เกี่ยวกับปัญหายางกระแทกขอบบังโคลน แต่อาจดูไม่สวย และล้อหรือยางจะติดขัดกับช่วงล่างบางชิ้นหรือซุ้มล้อ ด้านใน ถ้าไม่มาก สามารถใช้แผ่นอะลูมิเนียมรองแบนกลมบางๆ สเปเซอร์-SPACER ซึ่งมีจำนวนรูให้นอตร้อยผ่านเท่ากับระยะ PCD แทรกระหว่างล้อแม็กกับดุมล้อ เพื่อให้ล้อแม็กล้นออกมามากขึ้น

แก้ไขล้อแม็กซ์

มีหลายวิธี เช่น 4 รูนอต PCD ใกล้เคียงกัน แล้วมีค่าออฟเซตเหมาะสมอยู่แล้ว เช่น 4 รูนอต PCD 100 แก้ไขเป็น 114.3 มิลลิเมตร หรือ 120 แก้ไขเป็น 114.3 มิลลิเมตร มักดัดแปลงด้วยการคว้านรูนอตเดิมบนล้อแม็กให้ใหญ่ขึ้ น แล้วอัดบู๊ชเหล็กใหม่เข้าไปให้ได้ระยะหากเนื้อของล้อ แม็กด้านข้างรูนอตยังเต็มหรือเหลือพอทั้งด้านหน้า-ด้านหลัง สามารถเจาะรูเพิ่มจากเดิมได้ แต่ต้องได้ศูนย์และตรงกับระยะ PCD พอดี
อย่ามองข้ามขนาดรูกลางของล้อแม็ก
รถยนต์ทุกคันต้องมีแกนกลางของดุมล้อนูนออกมา เพื่อสวมทะลุเข้าสู่รูกลางบนตัวล้อแม็ก นอกจากต้องมีระยะ PCD, ค่าออฟเซต และขนาดโดยรวมของล้อแม็กเหมาะสมแล้ว ขนาดรูกลางของล้อแม็กต้องกว้างเท่ากันพอดีกับแกนดุมล้อ เพื่อป้องกันการสะบัดหรือแกว่งของล้อแม็ก แม้นอตล้อจะยึดแน่นอยู่แล้วก็ตาม หากขนาดรูกลางของล้อแม็กเล็กเกินไป ย่อมสวมเข้ากับดุมล้อไม่ได้ ต้องกลึงคว้านด้วยความละเอียดให้มีขนาดรูกลางเท่ากับ แกนดุมล้อพอดี อย่าให้หลวมถ้าขนาดรูกลางของล้อแม็กใหญ่กว่าแกนดุมล้ อ ควรอัดบู๊ชหรือคว้านแล้วอัดบู๊ชให้พอดีกัน เพื่อป้องกันการแกว่ง

เลือกอย่างไร

มีหลายวิถีทางเลือก โดยเฉพาะด้านลวดลายและความสวยงาม คงไม่มีเครื่องมือหรือหลักการตัดสินชัดเจน เพราะรสนิยมย่อมมีความแตกต่างกันเปลี่ยนล้อแม็ก แต่ใช้ยางขนาดเดิม… เปลี่ยนล้อแม็กพร้อมยางขนาดใหม่

ขอบคุณข้อมูลจาก http://www.phithan-usedcar.com/

เกียร์แต่ละเกียร์คืออะไร

การขับรถเกียร์ออโต้

เทคนิคการขับรถเกียร์ออโต้

ทุกวันนี้รถยนต์โดยทั่วไปบนท้องถนน มักเป็นรถที่ขับเคลื่อนด้วยเกียร์ออโต้ เพราะให้ความสะดวกสบายในการขับขี่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสภาพการจราจรที่ติดขัดในกรุงเทพฯ ซึ่งจะต้องขับเคลื่อน และชะลอตัว หรือเบรคอยู่บ่อยครั้ง ในการขับขี่รถยนต์เกียร์ออโต้นั้น ผู้ขับขี่ควรจดจำตำแหน่ง และใช้เกียร์แต่ละเกียร์ได้ อย่างถูกต้อง แม่นยำ ซึ่งเกียร์ออโต้แต่ละตำแหน่ง มีดังนี้

P หมายถึง PARKING เป็นตำแหน่งที่ใช้สำหรับจอดรถ และไม่ต้องการให้รถเคลื่อน โดยล้อรถจะถูกล็อคไว้ ไม่สามารถเข็นได้ เช่น ในการจอดบนทางลาดชัน เมื่อต้องการจอดรถทิ้งไว้ หลังจากเหยียบเบรคจนรถหยุดสนิทแล้ว อย่าเพิ่งปล่อยเบรค จับคันเกียร์กดปุ่มปลดล็อค แล้วโยกคันเกียร์ไปที่ตำแหน่ง P จากนั้นปล่อยเบรค แล้วดับเครื่องยนต์

R หมายถึง REVERSE เป็นเกียร์สำหรับการถอยหลัง เมื่อต้องการเข้าเกียร์ R จะต้องเหยียบเบรค ให้รถหยุดสนิท จากนั้นจับคันเกียร์กดปุ่มปลดล็อคแล้วโยกคันเกียร์ไปที่ตำแหน่ง R แล้วจึงปล่อยเบรค กดคันเร่ง ให้รถเคลื่อนตัวถอยหลัง

N หมายถึง NEUTRAL เป็นตำแหน่งเกียร์ว่างใช้เมื่อสตาร์ทเครื่องยนต์หรือ ต้องการจอดรถทิ้งไว้โดยที่ยังสามารถเข็นได้ หรือเมื่อจอดรถ อยู่กับที่ ในขณะเครื่องยนต์ยังคงทำงานอยู่ เช่น การจอดรถในสภาพการจราจรติดขัด หรือเมื่อติดไฟแดง

D4 หมายถึง เกียร์ออโต้ 4 สปีด ใช้ในการขับรถเดินหน้าในสภาพการขับขี่ทั่วไป เช่น การขับรถ ในตัวเมือง รวมทั้งการขับรถด้วยความเร็วสูง ซึ่งการทำงานของเกียร์ D4 จะเป็นไปในลักษณะ 4 สปีด คือ เกียร์ จะเปลี่ยน ขึ้นตามลำดับ จากเกียร์ 1 ไปเกียร์ 2 หรือจากเกียร์ 2 ไปเกียร์ 3 หรือจากเกียร์ 3 ไปเกียร์ 4 โดยออโต้ ตามสภาพการทำงานของเครื่องยนต์และความเร็วของรถ ยิ่งผู้ขับเหยียบคันเร่งมาก เกียร์ก็จะเปลี่ยนที่ความสูงขึ้น ตามไปด้วย
ในทางกลับกัน เมื่อลดความเร็ว เกียร์จะเปลี่ยนจากเกียร์ 4 ไปเกียร์ 3 หรือจากเกียร์ 3 ไปเกียร์ 2 หรือจากเกียร์ 2 ไปเกียร์ 1

D3 หมายถึง เกียร์ออโต้ 3 สปีด ใช้สำหรับขับรถขึ้นหรือลงเนิน เพื่อป้องกันมิให้เกียร์เปลี่ยนกลับไป กลับมาบ่อยๆ ระหว่างเกียร์ 3 และเกียร์ 4 นอกจากนี้ยังใช้สำหรับกรณีที่ต้องการ ให้เครื่องยนต์ช่วยเพิ่มกำลัง เบรคมากขึ้น
ในตำแหน่ง D4 และ D3 หากต้องการเร่งความเร็วอย่างทันทีทันใด เช่น ในเวลาที่ต้องเร่งแซงรถที่อยู่ข้างหน้า ผู้ขับขี่ สามารถใช้การ KICK DOWN เหยียบคันเร่งจมติดพื้น เกียร์จะเปลี่ยนโดยออโต้ และทำให้รถพุ่ง ไปข้างหน้าเร็วขึ้น

D2 หมายถึง เกียร์ 2 ใช้สำหรับการขับรถลงเขา เพื่อให้เครื่องยนต์ช่วยเพิ่มกำลังเบรคมากขึ้น หรือการขับรถขึ้นเขา เพื่อเพิ่มกำลังขับเคลื่อน รวมทั้งการขับบนถนนลื่น และการขับขึ้นจากหล่มโคลนหรือทราย

D1 หมายถึง เกียร์ 1 ใช้สำหรับการขับรถขึ้น-ลงเขาที่สูงชันมากๆ

การเลือกใช้งานของเกียร์ออโต้แต่ละเกียร์ได้อย่างถูกต้อง นอกจากจะช่วยป้องกันไม่ให้เกิดอันตราย หรือ ความเสียหาย ต่อระบบขับเคลื่อนแล้ว ยังให้การขับขี่ที่นุ่มนวลอีกด้วย

ดูแล”กรองอากาศ” ปอดรถยนต์ที่ไม่ควรมองข้าม

“กรองอากาศ” รถยนต์ อีกหนึ่งอุปกรณ์สำคัญที่เปรียบเหมือนปอดของคนเรา ที่ส่งผลให้การเผาไหม้สมบูรณ์ได้ประสิทธิภาพสูงสุด แต่มักถูกละเลย…

Read More

6 เหตุผลว่าทำไมรถคันต่อไปของคุณจึงควรเป็นรถยนต์ไฟฟ้า??

ประเทศไทยได้รับการยอมรับว่าเป็นผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ที่สุดในภูมิภาคอาเซียน และเป็นผู้เริ่มต้นในการนำมาซึ่งการสัญจรอย่างยั่งยืน หรือ sustainable mobility ซึ่งการเติบโตที่น่าประทับใจของกลุ่มยานพาหนะไฟฟ้า (Electric Vehicle) มีถึง 81% ในช่วงสี่ปีที่ผ่านมาได้เปลี่ยนโฉมระบบนิเวศทางด้านยานยนต์ของประเทศให้มีอนาคตที่สดใส

แล้วสิ่งนี้สำคัญกับเจ้าของรถยนต์ส่วนตัวแบบคุณอย่างไรกัน? บทความนี้จะนำเสนอว่าการเปลี่ยนไปใช้รถยนต์ไฟฟ้าจะเป็นประโยชน์กับคุณได้อย่างไรบ้าง

1) เมื่อคุณกำลังขับรถอยู่ท่ามกลางแสงอาทิตย์
การอยู่ในสภาพภูมิอากาศอบอุ่นตลอดทั้งปีที่อุดมไปด้วยแสงแดดของประเทศเขตร้อน จะมีอะไรจะดีไปกว่านี้อีกล่ะ? ปัญหาน้ำมันหมดจะไม่มีอีกต่อไป เมื่อสามารถชาร์จพลังงานให้รถวิ่งต่อไปได้ อีกทั้งสามารถเพิ่มพลังการขับของคุณด้วยแสงที่มีทั้งหมดได้อีกด้วย

2) สู่วันพรุ่งนี้ที่ดีกว่า
หนึ่งในเหตุผลหลักที่กระตุ้นความนิยมของ EV คือการสร้างจิตสำนึกด้านสิ่งแวดล้อม ด้วยชุมชนของเราที่กำลังสร้างก้าวเล็กๆ ไปสู่การผสมผสานความยั่งยืนในชีวิตประจำวันของคนในชุมชน ถุงพลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวที่ซูเปอร์มาร์เก็ตได้กลายเป็นอดีตไปแล้ว ก้าวต่อไปอีกหนึ่งขั้นด้วยรถยนต์
ไฟฟ้าที่ใช้พลังงานแสงอาทิตย์และปล่อยคาร์บอนต่ำ

3) การออกแบบที่มีสไตล์จนคุณสังเกตได้
เนื่องจากความต้องการของผู้บริโภคเพิ่มขึ้น ดังนั้นรถจึงมีโมเดลและตัวเลือกที่แตกต่างกันมากขึ้นด้วย รถยนต์ไฮบริดเป็นที่รู้จักกันดีในเรื่องของการออกแบบที่สวยงามและแบบแอโรไดนามิก
นอกจากนี้ ยิ่งมีคนมากก็ยิ่งครึกครื้นใช่ไหมล่ะ? หนึ่งในรถรุ่นใหม่ล่าสุดในตลาดคือ all-new Nissan Kicks e-POWER ที่มีโหมดการขับขี่ที่แตกต่างกันถึงสี่โหมด ช่างเป็นรถที่เซ็กซี่ กะทัดรัดและสามารถทำงานได้เป็นอย่างดี

4) แบตเตอรี่ไฮบริดมีการรับประกันที่ยาวนาน
ข้อกังวลที่พบบ่อยที่สุดเกี่ยวกับรถยนต์ไฮบริดคือ “แบตเตอรี่จะมีอายุการใช้งานจริงได้นานแค่ไหน” คุณอาจกังวลต่อการเปลี่ยนโดยพิจารณาจากราคาที่สูงในการเปลี่ยนแบตเตอรี่ ซึ่งผู้ผลิตรถยนต์ส่วนใหญ่เช่นนิสสันฮอนด้าและโตโยต้ามีการรับประกันสิบปีสำหรับแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนเพื่อรับประกันความทนทานและอายุการใช้งานที่ยาวนาน

5) ดีกว่าสำหรับตัวคุณและกระเป๋าเงินของคุณ
นอกจากคุณจะสามารถประหยัดน้ำมันได้แล้ว มีอะไรอีกบ้างนะ? รถยนต์ไฟฟ้ามีค่าบำรุงรักษาต่ำ เมื่อไม่มีเครื่องยนต์ที่ต้องใช้น้ำมันในการหล่อลื่น อีกทั้งคุณยังประหยัดเวลาจากการเดินทางไปยังปั๊มน้ำมันและศูนย์บริการ ซึ่งช่วยให้คุณประหยัดได้มากกว่าเงินอีกด้วย!

6) การขับขี่ที่ราบรื่นอยู่เสมอ
เสียงของรถยนต์ไฟฟ้า…ในตอนนี้นั่นก็คือเสียงเพลงในหูของเรา รถยนต์ไฟฟ้ามีจุดศูนย์ถ่วงที่ลดลงซึ่งให้การควบคุมที่ดียิ่งขึ้นและความสบายที่มากขึ้น เนื่องจากรถนั้นไม่มีคลัตช์หรือเกียร์ การขับของคุณจึงราบรื่นและเงียบอยู่เสมอทำให้คุณได้รับประสบการณ์ที่น่าพึงพอใจทุกครั้ง

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    เปิดใช้งานตลอด

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรังปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้

บันทึกการตั้งค่า

Welcome to gozomall

LOGIN AND ENJOY !

Welcome to Gozomall

Create your account and enjoy !
Welcome to Gozomall